พ.ศ.2509 ท่านธรรมาจารย์ เจิ้งเอี๋ยน อาศัยจิตวิญญาณ “ยับยั้งชั่งใจ อุตสาหะ มัธยัสถ์ ฟันฝ่าอุปสรรค” จนสามารถก่อตั้งมูลนิธิฉือจี้ขึ้น ณ เมือง ฮวาเหลียน ไต้หวัน ในยุคแรกลูกศิษย์ซึ่งเป็นภิกษุณี 6 รูป ต่างช่วยกันเย็บรองเท้าเด็กเพิ่มวันละหนึ่งคู่ และแม่บ้าน 30 คน ต่างช่วยกันออมเงินลงในกระบอกไม้ไผ่ ออมบุญวันละ 50 สตางค์ เพื่อดำเนินงานการกุศลของฉือจี้ ตลอดระยะเวลา 53 ปีที่ผ่านมา ภารกิจของฉือจี้ได้ขยายเป็น การกุศล การรักษาพยาบาล การศึกษาและวัฒนธรรมอันดีงามของมนุษย์ จากดินแดนอันห่างไกล อย่างเมืองฮวาเหลียน ขยายไปยังห้าทวีปทั่วโลก ปัจจุบันมูลนิธิฉือจี้มีสำนักงานและจุดติดต่อรวมทั้งสิ้น 56 ประเทศ โดยให้การช่วยเหลือผู้คนทั่วโลกไปแล้ว 92 ประเทศ ชาวฉือจี้ใช้ใจที่เปี่ยมด้วยความสำนึกคุณ เสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทน เพื่อดูแลและปลอบโยนผู้ที่กำลังตกทุกข์ได้ยากด้วยความจริงใจ
เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2506 หลังจากท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนเข้ารับการสมาทานศีลแล้ว จึงเดินทางกลับไปยังเมืองฮวาเหลียนและเริ่มปฏิบัติธรรม ณ บ้านไม้หลังเล็กซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 120 ตารางฟุต บริเวณหลังหมู่บ้านเจียหมิน ตำบลซิ่วหลิน โดยศึกษาและค้นหาความหมายที่แท้จริงของคัมภีร์ “สัทธรรมปุณฑริกสูตร”
ณ สถานที่แห่งนี้ ท่านธรรมาจารย์ได้สวดบทสัทธรรมปุณฑริกสูตรทุกวัน และคัดออกมาเป็นคัมภัร์ทุกเดือน ทว่าเนื่องจากท่านธรรมาจารย์ไม่บิณฑบาตและไม่รับประกอบพิธีกรรม บ่อยครั้งจึงไม่มีแม้แต่ดอกไม้หรือผลไม้บูชาพระ หลังจากปฏิบัติตามวิถีดังกล่าวนานกว่าครึ่งปี ท่านจึงตั้งปณิธานปฏิบัติตาม “สัทธรรมปุณฑริกสูตร” ไปตลอดชีวิต ในภาพคือบ้านไม้หลังเล็กที่ท่านธรรมาจารย์ศึกษาและปฏิบัติธรรม ถือเป็นจุดกำเนิดโลกแห่งความรักของฉือจี้ในปัจจุบัน
วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2509 (วันที่ 24 เดือน 3 ปีพ.ศ. 2509 ตามปฏิทินจันทรคติ) “มูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน” ได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ วัดผู่หมิง หมู่บ้านเจียหมิน ท่านธรรมาจารย์นำเหล่าลูกศิษย์ปฏิบัติธรรม ณ วัดผู่หมิง โดยทุกคนต่างดำเนินชีวิตด้วยการพึ่งพาตนเอง ยึดกฎที่ว่า “วันใดไม่ทำงาน วันนั้นไม่ขอฉันอาหาร” สำหรับมูลเหตุการก่อตั้งนั้น กล่าวคือ วันหนึ่งมีแม่ชีคาทอลิกจากโรงเรียนมัธยมไห่ซิง สามท่านได้เดินทางมาพบท่านธรรมาจารย์ เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงศาสดา เป้าหมายและหลักธรรมคำสอนของศาสนาที่ตนเองนับถือ ก่อนที่แม่ชีทั้งสามจะเดินทางกลับ จึงได้กล่าวขึ้นว่า “ในที่สุดวันนี้ก็ได้เข้าใจแล้วว่า ความเมตตาของพระพุทธองค์นั้น ครอบคลุมไปถึงทุกสรรพชีวิตบนโลก ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ทว่าความรักของพระเจ้า แม้จะจำกัดอยู่แค่หมู่มวลมนุษยชาติ แต่พวกเราได้สร้างโบสถ์ สร้างโรงพยาบาลรวมถึงดูแลสถานสงเคราะห์คนชรา ได้ทำประโยชน์เพื่อสังคมนานัปการ แล้วพุทธศาสนาเล่า ได้อุทิศสิ่งใดเพื่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรมบ้าง” ท่านธรรมาจารย์ฟังแล้วรู้สึกอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะตอบประการใด นั่นเพราะพุทธศาสนิกชนส่วนมาก มักจะปิดทองหลังพระ ต่างคนต่างทำบุญ เมื่อทำบุญก็ไม่ต้องการออกนาม เป็นที่น่าเสียดาย ที่ไม่มีใครรวบรวมความรักอันยิ่งใหญ่นี้ ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนจึงตัดสินใจทุ่มเทแรงกายแรงใจ จัดตั้งองค์กรการกุศลขึ้น โดยเริ่มต้นจากการสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ยากไร้
"ผู้สูงอายุท่านแรกที่ได้รับการดูแลระยะยาวจากฉือจี้"
ในปี พ.ศ. 2509 สองเดือนหลังจากก่อตั้งมูลนิธิพุทธฉือจี้ ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนจึงนำเหล่าลูกศิษย์ ยื่นมือเข้าให้ความช่วยเหลือคุณยายหลินวัย 85 ปี ซึ่งกำลังล้มป่วยและอาศัยอยู่เพียงลำพัง ท่านเป็นชาวฮกเกี้ยน ที่อพยพตามสามีมาไต้หวันตั้งแต่อายุยังน้อย หลังจากสามีเสียชีวิตลง จึงอาศัยอยู่ในไต้หวันเพียงลำพัง เคยรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงดู แต่เขาก็ล่วงลับไปก่อน ต่อมาจึงเลี้ยงดูหลานสาวหวังให้เป็นที่พึ่งพิง แต่หลานสาวกลับไม่เคยมาเหลียวแล เมื่อแก่ชราลง ร่างกายก็ร่วงโรยไปตามกาลเวลา มีโรคภัยไข้เจ็บ ต้องอดมื้อกินมื้อโดยไร้คนช่วยเหลือ เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงความเฉยชาของคนเมือง ในตอนนั้น ฉือจี้ใช้เงินสงเคราะห์ 300 หยวน ว่าจ้างคน ให้มาช่วยหุงหาอาหาร ซักเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มและดูแลความเป็นอยู่ของคุณยาย เมื่อล้มป่วยก็พาไปหาหมอรักษาตัว จนกระทั่งคุณยายเสียชีวิตในปี พ.ศ.2513