ธรรมะส่องสว่างในจิตใจ เปิดโลกใบใหม่ด้วยงานการกุศล โดย คุณสุพัตรา ปสุตานนท์

20130623-87-byyour resize

 

เรียนรู้ถนอมความสุขของตน เมื่อพบเจอกับความทุกข์ของผู้อื่น
“ครอบครัวบุญคุณ” ครอบครัวแรกที่ฉือจี้ให้การช่วยเหลือ คือ คุณยายหลี่ชิวเซียง ซึ่งอาศัยอยู่ในย่านเยาวราช โดยท่านเป็นผู้ที่อาสาสมัครฉือจี้ คุณมณี หัสดินไพศาล มักจะไป

เยี่ยมเยียนอยู่เสมอ คุณยายวัยชรามีบุตรชาย 1 คน และลูกสาวซึ่งพิการทางสติปัญญาอีก 1 คน ท่านอาศัยการขายของเก่ายังชีพ มีฐานะที่ยากลำบาก บ้านของท่านล้วนเต็มไปด้วยสิ่งของรีไซเคิล ไม่มีไฟฟ้า ซ้ำยังไม่มีบันได มีเพียงไม้พาดให้ปีนขึ้นลงบ้านเท่านั้น อาสาสมัครจึงเสนอความช่วยเหลือ จะทำบันไดให้กับบ้านของคุณยาย เพื่อช่วยให้ท่านขึ้นลงได้สะดวก แต่เนื่องจากเป็นห้องที่ผู้ใจบุญให้อาศัยอยู่ชั่วคราว คุณยายจึงไม่กล้าต่อเติม โดยท่านยังได้ให้เหตุผลว่า คุ้นชินกับการปีนขึ้นลงแล้ว ชาวฉือจี้จึงได้แต่ช่วยต่อไฟฟ้า มอบเงินสงเคราะห์ค่าครองชีพในแต่ละเดือน และระดมกำลังช่วยทำความสะอาดที่พักอาศัยให้

 

หลังจากทุ่มเทช่วยกันทำความสะอาดบ้านให้คุณยายหลี่ชิวเซียงเพียงไม่กี่วัน อาสาสมัครพบว่า ที่พักของคุณยายกลับเต็มด้วยสิ่งของรีไซเคิลที่วางระเกะระกะตามเดิม ทั้งอาสาสมัครฉือจี้และคุณยายจึงร่วมกันทำความสะอาดอีกครั้ง จากนั้นคุณยายจึงบอกกับอาสาสมัครด้วยความเกรงใจว่า ท่านคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ ไม่อยากรบกวนอาสาสมัครอีก ต่อมาคุณยายแจ้งว่าตนเองมีรายได้ที่มั่นคงจากการขายสิ่งของรีไซเคิล จึงยินดีให้อาสาสมัครยุติการช่วยเหลือ พร้อมทั้งบอกให้อาสาสมัครนำเงินส่วนนี้ ไปช่วยเหลือผู้ที่ลำบากยิ่งกว่าตนต่อไป 

จากการทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ ทำให้คุณสุพัตรา ปสุตานนท์ ได้เห็นถึงภาพความลำบากของชีวิตครอบครัวบุญคุณ และทำให้ท่านได้เรียนรู้ว่าตนเองนั้นโชคดีเพียงใด จากการพบเห็นความทุกข์ของผู้อื่น “ถึงแม้ว่าจิตใจฉันจะเศร้าหมอง เหมือนว่ามีอะไรขาดหายไปในชีวิต แต่ชีวิตของครอบครัวบุญคุณ พวกเขาไม่เพียงขาดแคลนในด้านทรัพย์สินเงินทอง แต่จิตใจของพวกเขายังต้องทุกข์ระทมหม่นหมอง มันทำให้ฉันคิดได้ว่า ฉันยังโชคดี จึงต้องรู้จักถนอมบุญนี้เอาไว้ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่นให้มากๆ ค่ะ” คุณสุพัตราแบ่งปัน 

 

ธรรมะเปิดใจ ให้เห็นถึงวิถีทางแห่งพระโพธิสัตว์

เมื่อสามีจากไปโดยไม่มีวันกลับ ทำให้คุณสุพัตราตกอยู่วังวนแห่งความเศร้าโศกนานถึง 6 ปีเต็ม ในช่วงเวลานั้น คุณสุพัตราได้แต่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก ไม่อยากพบเจอผู้คน แต่ละวันได้แต่วิงวอนต่อหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิม ขอให้ท่านช่วยปกปักษ์รักษาสมาชิกในครอบครัวทุกคน

 ในตอนนั้น คุณสุพัตราเป็นสมาชิกผู้บริจาคให้กับมูลนิธิพุทธฉือจี้ที่ไต้หวัน น้องสาวจึงจัดส่งวารสารฉือจี้มาให้คุณสุพัตราเป็นประจำทุกเดือน ในวารสารเล่มหนึ่งได้เขียนถึงคำสอนของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนว่า “โลกใบนี้มีพระโพธิสัตว์กวนอิมจริงๆ” เมื่อลองอ่านต่อไป จึงเข้าใจถึงความหมายแท้จริงที่ท่านธรรมาจารย์ต้องการสอน คือ “พลังของคน 500 คน ที่ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้กับผู้อื่น ก็เท่ากับพระโพธิสัตว์พันเนตรพันกรหนึ่งองค์” เพียงแค่ได้อ่านก็รู้สึกประทับใจ และนำคำสอนของท่านธรรมาจารย์มาเป็นที่พึ่งพิงทางจิตวิญญาณเรื่อยมา ทำให้จิตใจที่เคยอ่อนแอของคุณสุพัตราค่อยๆ เข้มแข็งขึ้น จนสามารถเปิดใจตนเองและก้าวเข้าสู่ครอบครัวแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของฉือจี้ 

“บังเอิญว่าตอนนั้นฉันได้อ่านข่าวในหนังสือพิมพ์สากล ว่าฉือจี้จะจัดกิจกรรมมอบอุปกรณ์การเรียนให้กับโรงเรียนทางภาคเหนือ ตอนแรกฉันก็แปลกใจว่าที่เมืองไทยมีฉือจี้ด้วยหรือ ฉันจึงโทรศัพท์ติดต่อสอบถามไปยังอาสาสมัครฉือจี้ คือ คุณมณี และบอกว่า ฉันเป็นชาวไต้หวัน อยากจะรู้จักฉือจี้ให้มากยิ่งขึ้น คุณมณีจึงชวนฉันมาร่วมกิจกรรมมอบอุปกรณ์การเรียนให้โรงเรียนทางภาคเหนือของไทย นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาร่วมกิจกรรมกับฉือจี้ค่ะ” คุณสุพัตราแบ่งปันมูลเหตุการมาร่วมกิจกรรมฉือจี้ครั้งแรก ในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ 2538

ฉือจี้เมืองไทยในช่วงแรกยังไม่มีสำนักงาน การประชุมแต่ละครั้งจึงต้องสลับหมุนเวียนไปตามบ้านของอาสาสมัครแต่ละท่าน คุณสุพัตราแบ่งปันว่า คืนก่อนเข้าร่วมการประชุมครั้งแรกกับฉือจี้ ได้ฝันเห็นนักบวชชุดขาวท่านหนึ่งซึ่งบอกกับตนว่า “จงตั้งใจให้มาก” วันรุ่งขึ้น เมื่อไปถึงบ้านอาสาสมัคร ก่อนการประชุม ทุกคนต่างร่วมรับฟังธรรมะจากท่านธรรมจารย์เจิ้งเอี๋ยน ก่อนธรรมเทศนาจะจบลง ท่านธรรมาจารย์จึงกล่าวว่า “จงตั้งใจให้มาก” เมื่อได้ยินดังนั้น คุณสุพัตราจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก และได้แบ่งปันเรื่องนี้ให้กับอาสาสมัครที่มาร่วมประชุมฟัง คุณมณีจึงบอกกับคุณสุพัตราว่า “นี่คือ คำอวยพรที่ท่านธรรมาจารย์มอบให้คุณ จึงขอให้คุณมีความตั้งใจให้มาก” จากนั้น จึงได้เริ่มมอบหมายภาระหน้าที่ “ฝ่ายการเงิน” ให้กับคุณสุพัตรา 

 

ทำทุกงาน ด้วยความตั้งใจ
ถึงแม้จะไม่เคยรับผิดชอบงานด้านการเงินมาก่อน แต่คุณสุพัตราก็ตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมาย ช่วยจดบันทึกรายการบริจาค และค่าใช้จ่ายในกิจกรรมต่างๆ พร้อมทั้งนำเงินกองทุนที่มีไปฝาก ณ ธนาคาร มีครั้งหนึ่งเงินหายไปจากบัญชี 15 บาท คุณสุพัตราคิดคำนวนหาเท่าไรก็ไม่ทราบสาเหตุ จึงคิดว่าจะรับผิดชอบโดยออกเงินของตัวเอง แต่เมื่อไปสอบถามจากผู้รู้งานบัญชีจริงๆ จึงได้ทราบว่า เป็นค่าธรรมเนียมที่ทางธนาคารได้หักไว้ หลังจากนั้นหนึ่งปีจึงมีผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีโดยตรงมารับช่วงต่อ 

ภายหลังจัดตั้งสำนักงานมูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวันในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ อาสาสมัครจึงได้แบ่งการทำงานออกเป็นฝ่ายต่างๆ ได้แก่ ฝ่ายกิจกรรม ฝ่ายบัญชี ฝ่ายธุรการ ฝ่ายอาสาสมัคร ฝ่ายสื่อสิ่งพิมพ์ ฝ่ายติดต่อประสานงาน ฝ่ายจัดเตรียมอาหาร ฝ่ายอบรมพัฒนาอาสาสมัคร ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ฝ่ายดูแลพื้นที่ภาคเหนือ ฝ่ายโสตฯ เป็นต้น ซึ่งในตอนนั้น ตอนนั้นคุณสุพัตราได้รับผิดชอบงานฝ่ายธุรการ และฝ่ายสังคมสงเคราะห์ควบคู่ไปด้วยกัน 

 

ลงลึกงานสังคมสงเคราะห์ จุดประกายกุศลจิตของผู้อื่น

ด้วยประสบการณ์การประกอบธุรกิจขายอุปกรณ์ตัดเย็บเสื้อผ้า ทำให้คุณสุพัตราสามารถรับผิดชอบงานฝ่ายธุรการได้เป็นอย่างดี แต่ละเดือนจะคอยจัดซื้อ รวมทั้งจัดเตรียมสิ่งของที่จะนำไปมอบให้ครอบครัวบุญคุณและใช้ในกิจกรรมต่างๆ ส่วนงานด้านสังคมสงเคราะห์ คุณสุพัตราได้แบ่งปันว่า ในช่วงแรกซึ่งมีอาสาสมัครเพียงไม่กี่คน ทุกคนต่างก็ทำงานฉือจี้อย่างมีความสุข แทบจะไม่มีอุปสรรคปัญหาใดๆ การติดต่อประสานงานก็ง่ายและสะดวก เพียงแค่โทรศัพท์ติดต่อ ทุกคนก็พร้อมที่จะมาร่วมทำงานฉือจี้ แม้ว่าบางครั้งอาสาสมัครต้องออกเงินซื้อสิ่งของที่จะนำไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่มีใครแบ่งแยก ล้วนพร้อมใจกันบอกว่า สิ่งของทุกอย่างมาจากความรักของ “ชาวฉือจี้” 

ครั้งหนึ่ง คุณสุพัตราได้รับแจ้งจากคนงานของตนเองว่า คุณยายสำยวนวัย 67 ปี ซึ่งขายผักในตลาดละแวกบ้านของท่านได้ประสบอุบัติเหตุขณะโดยสารรถตุ๊กตุ๊กจนกระดูกหัก ไม่สามารถออกมาขายผักได้ตามเดิม เมื่ออาสาสมัครเข้าไปเยี่ยมเยียนสอบถาม จึงทราบว่าคุณยายพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานเกือบหนึ่งเดือนแล้ว แต่กลับไม่มีญาติพี่น้องมาดูแล และไม่มีรายได้มาจุนเจือ ค้างค่าเช่าบ้านจนเจ้าของบ้านจะไม่ให้พักอาศัยต่อ อาสาสมัครฉือจี้จึงมอบเงินค่าเช่าบ้านเดือนละ 1,200 บาท และค่าครองชีพเดือนละ 300 บาทให้คุณยาย พร้อมทั้งคอยไปเยี่ยนเยียนดูแลอย่างสม่ำเสมอเดือนละ 2 ครั้ง จนคุณยายหายเป็นปกติ สามารถกลับมาขายผักในตลาดได้ตามเดิม 

คุณยายวัยชราที่อาศัยอยู่ตามลำพัง เมื่อได้รับการดูแลด้วยความใส่ใจจากอาสาสมัคร ทำให้คุณยายรู้สึกซาบซึ้งและเปี่ยมด้วยความขอบพระคุณท่านธรรมาจารย์และอาสาสมัครอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ทราบว่าคุณสุพัตราจะเดินทางกลับไต้หวัน คุณยายจึงมักคัดสรรพืชผักต่างๆ มามอบให้คุณสุพัตรา เพื่อให้นำไปถวายแด่ท่านธรรมาจารย์ ณ เกาะไต้หวัน แต่คุณสุพัตราก็ทำได้เพียงเป็นตัวแทนของคุณยาย นำพืชผักเหล่านั้นไปผูกบุญสัมพันธ์กับครอบครัวบุญคุณท่านอื่น เพราะไม่สามารถนำพืชผักต่างๆ ขึ้นเครื่องบินได้

แม้คุณยายจะขัดสนเงินทอง แต่ท่านกลับร่ำรวยน้ำใจ เมื่อสามารถกลับไปทำงานค้าขายพืชผักได้ตามเดิม มีรายได้ที่มั่นคงแล้ว คุณยายสำยวนจึงเอ่ยบอกกับอาสาสมัครฉือจี้ด้วยตัวเองว่า จะไม่ขอรับเงินสงเคราะห์ค่าครองชีพจากฉือจี้แล้ว เพื่อให้อาสาสมัครนำเงินจำนวนนี้ไปช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป
โดยคุณยายมักพูดอยู่เสมอว่า “ไม่มีอะไรจะตอบแทนให้ฉือจี้ได้ ดังนั้น คุณสุพัตราจึงได้แบ่งปันแนวคิดกระปุกออมบุญกับคุณยาย การอดออมน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ลงในกระปุกออมบุญ ไม่เพียงไม่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของตนเอง แต่ยังทำให้คุณยายสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกด้วย ท่านจึงหมั่นเก็บออมความรักลงในกระปุกออมบุญ และบริจาคมอบให้กับฉือจี้เป็นประจำทุกเดือน ถึงแม้ปัจจุบันคุณยายจะเสียชีวิตไปแล้ว หลังจากที่ฉือจี้ดูแลคุณยายมาต่อเนื่องนานกว่า 6 ปี แต่เรื่องราวน่าประทับใจที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานสังคมสงเคราะห์นี้ ยังทำให้คุณสุพัตราประทับใจไม่รู้ลืม

 

ยืนหยัดในปณิธานของท่านธรรมาจารย์ เดินบนวิถีทางแห่งพระโพธิสัตว์
คุณสุพัตรา ซึ่งเดินทางมาอาศัยอยู่ในเมืองไทยตั้งแต่ พ.ศ 2517 ทำให้สามารถพูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นกำลังสำคัญอีกท่านหนึ่งที่ช่วยผลักดันภารกิจฉือจี้ในเมืองไทย แม้ภาระหน้าที่ซึ่งต้องดูแลธุรกิจของทางบ้านจะรัดตัว ทำให้ไม่สามารถมาร่วมกิจกรรมฉือจี้ได้ในวันปกติ แต่คุณสุพัตรายินดีทุ่มเทเวลาหลังเลิกงานในตอนเย็นหรือวันหยุดเพื่อมาทำงานฉือจี้โดยไม่ลังเลใจ คุณสุพัตรากล่าวว่า “เนื่องจากฉันต้องดูแลกิจการที่บ้านด้วย ทำให้ญาติผู้ใหญ่ในบ้านไม่ค่อยชอบให้ฉันออกมาทำงานฉือจี้ ดังนั้น ตอนกลางวันฉันจึงทำงานที่บ้าน หากมีประชุมของฉือจี้ ก็จะใช้เวลาในตอนเย็นมาร่วมประชุมกับอาสาสมัครท่านอื่นๆ ซึ่งบางครั้งแม้จะต้องปรึกษาหารือกันถึง 1.00 น. แต่ฉันก็ยินดีค่ะ” แม้การก้าวเดินบนเส้นทางแห่งวิถีพระโพธิสัตว์จะมิได้ราบรื่นนัก มักประสบพบเจออุปสรรคปัญหามากมาย แต่คุณสุพัตรายังคงยืนหยัดก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นต่อไป ทุกครั้งที่ไปช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ คุณสุพัตราก็มักจะนำเรื่องราวที่ประทับใจมาเล่าให้ญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวได้รับฟัง จนสามารถโน้มน้าวใจให้พวกท่านมาเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้บริจาคสนับสนุนฉือจี้ได้ในที่สุด 

คุณสุพัตราได้รับการรับรองวุฒิเป็นกรรมการฉือจี้เมื่อปี พ.ศ.2545 ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ทำงานเป็นอาสาสมัครฉือจี้ในเมืองไทย คำว่า “รักท่านธรรมาจารย์” เป็นสิ่งที่คุณสุพัตราระลึกถึงอยู่เสมอ และยังเป็นแรงผลักดันให้ท่านทำงานฉือจี้เรื่อยมา เพราะเส้นทางสายนี้ ไม่เพียงได้ช่วยเหลือผู้คน แต่ยังเป็นวีถีแห่งการพัฒนาตนเองด้วย คุณสุพัตราแบ่งปันว่า “ฉือจี้สอนให้ฉันรู้จักปล่อยวางและไม่ยึดติด แต่ก่อนฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าคนอื่นทำอย่างอื่นคือผิดหมดเลย ต่อมาจึงได้เรียนรู้ ที่จะมองในมุมมองของเขาบ้าง และอาจจะเป็นเพราะว่าอายุมากแล้ว จึงเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน ดังนั้นจึงพยายามลดความอยากมีอยากได้ เพื่อที่จะได้ลดความทุกข์ ความวุ่นวายใจลงค่ะ”

 

 

ในช่วงแรกฉือจี้ในประเทศไทยยังไม่มีสำนักงานถาวร จึงต้องสลับหมุนเวียนไปจัดการประชุมตามบ้านของอาสาสมัคร เมื่อได้รู้จักฉือจี้ จึงได้มาร่วมประชุมกับอาสาสมัครฉือจี้

 

อาสาสมัครมาร่วมกันจัดเตรียมอุปกรณ์การเรียนเพื่อนำไปมอบให้โรงเรียนทางภาคเหนือ

 

มาร่วมกิจกรรมมอบอุปกรณ์การเรียนให้โรงเรียนทางภาคเหนือกับฉือจี้เป็นครั้งแรก โดยช่วยจัดทำทะเบียนจำนวนสิ่งของที่จะนำไปมอบให้ในแต่ละโรงเรียน

 

เริ่มแรกช่วยงานฝ่ายการเงิน ถึงแม้ว่าจะไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็รับผิดชอบงานด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ

 

จากที่เคยปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก จมอยู่กับความทุกข์จากการสูญเสีย

เมื่อมาทำงานการกุศลกับฉือจี้ ทำให้เปิดทัศนคติใหม่ พบกับโลกที่สดใส

  

 


เรื่อง ดรรชนี  สุระเทพ         ภาพ ฉือจี้ประเทศไทย