“หนูจะไม่กินพวกเจ้าแล้วนะ” นี่คือเสียงของ คุณจรรยพร เข้มแข็ง ในวัย 8 ขวบ พูดบอกกับตัวเอง หลังจากจับพลัดจับผลูเดินตามเสียงอึกทึกครึกโครมที่ได้ยิน ไปจนถึงโรงฆ่าสัตว์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของคุณพ่อ และพบกับภาพอันน่าสลดของหมูตัวหนึ่ง ที่กำลังกระวีกระวาดวิ่งหนีปลายคมตะขอ พร้อมกับเสียงร้องที่ดังขึ้นไม่ขาดสาย เพราะรู้ว่าวินาทีสุดท้ายของชีวิตกำลังจะมาถึง ก่อนคุณจรรยพรจะหลับตาลงแล้วรีบผละออกมา พร้อมเสียงในใจว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกต่อไป
คุณค่าของ “คำมั่นสัญญา”
แม้ภาพความน่าสังเวชที่เห็นในวันนั้น จะทำให้คุณจรรยพร จิตอาสาจากอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เกิดเมตตาจิต จนเอ่ยคำมั่นสัญญาว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์ออกมา แต่สุดท้ายก็ยังคงหาข้ออ้างให้กับตนเองได้เสมอ ช่วงวัยเด็กก็บอกว่าผู้ใหญ่เป็นคนทำกับข้าว จะเลือกกินก็ไม่ได้ พอเข้าสู่วัยรุ่นก็บอกว่าตัวเองอายุยังน้อย เร็วเกินไปที่จะเลิกกินเนื้อสัตว์ พอถึงวัยทำงานก็บอกว่า กินอาหารเจแล้วไม่อยู่ท้อง ทำให้หิวไว อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์หลายอย่างในชีวิต กลับชวนให้คิดถึงคำมั่นสัญญาของตนเองในวัยเด็ก
“ตอนอายุ 17-18 ปี เราซึ่งอยู่ในละแวกตลาด พี่สาวของเพื่อน ซึ่งเป็นคนขายหมู อยากให้เรามีอาชีพ ก็เอาเนื้อหมูกับน้ำมันพืชมาให้ขาย แม้คนในตลาดจะพลุกพล่าน แต่ก็แปลกที่เราขายได้เฉพาะน้ำมันพืช และไม่เคยขายเนื้อหมูได้เลย ซึ่งถือว่าโชคดีที่เราขายไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้น ทุกวันนี้เราก็คงต้องเลี้ยงชีวิตด้วยการขายเนื้อหมูอยู่” คุณจรรยพรเล่าย้อนเหตุการณ์ในวันวาน
ต่อมาคุณจรรยพร ในวัย 20 กว่าปี ได้ย้ายมาทำงานที่สมุทรปราการ โดยอาศัยอยู่กับคุณน้าซึ่งทำอาชีพขายหมูย่าง ทุกครั้งที่เปิดตู้เย็น ก็จะเห็นเนื้อหมูจำนวนมาก แม้คุณน้าจะอนุญาตให้นำออกมาปรุงอาหารได้ตามอำเภอใจ แต่ตนเองกลับไม่เคยกล้าหยิบออกมาทำกับข้าว หรือแม้กระทั่งเมื่อคุณน้าเหลือหมูย่างกลับมาให้วันละ 3-4 ไม้ ตนเองก็ยังไม่กล้ากิน ได้แต่ตัดสินใจหิ้วเอาไปฝากเพื่อนที่ทำงานเป็นประจำ นั่นคงเป็นเพราะความรู้สึกผิดในใจ ที่ไม่สามารถรักษาคำมั่นสัญญาวัยเด็กของตนเองได้
ตระหนักถึงคุณค่าชีวิต กินเจหมั่นสร้างบุญ
คุณจรรยพร ซึ่งเป็นคนเถรตรง เคยตั้งปณิธานกับตัวเองด้วยความคึกคะนองว่า ถ้าเจ็บป่วยเมื่อไรจะไม่ขอรับการรักษา ขอจบชีวิตไปเลย แต่เหตุการณ์หลายอย่างที่พานพบ กลับทำให้ได้ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ ที่ทำให้นิ้วกลางข้างซ้ายได้รับบาดเจ็บ ซึ่งอาการดูเหมือนจะไม่หนักหนา แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานนับเดือน ความเจ็บปวดกลับไม่เคยทุเลาลง จนต้องตัดสินใจไปพบหมอและเข้ารับการเอกซเรย์จึงพบว่ากระดูกนิ้วหัก คุณหมอต้องช่วยผ่าตัดใช้เหล็กดามให้ถึง 4 ครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล คุณจรรยพรกัดฟันทนอยู่กับความเจ็บปวดนี้นานหลายเดือน เพราะอาการไม่ได้อันตรายมากจนถึงแก่ชีวิต แต่ชีวิตประจำวันก็ดำเนินไปด้วยความทุกข์ทรมาน จนต้องขอให้ตัดนิ้วออกเพื่อยุติความเจ็บปวด
คุณจรรยพรเคยพยายามเลิกกินเนื้อสัตว์ถึงสามครั้งสามครา แต่ไม่สำเร็จเพราะผัดวันประกันพรุ่งมาเรื่อย หลังจากอุบัติเหตุที่ทำให้ต้องตัดนิ้วครั้งนั้น ทำให้คุณจรรยพรเข้าใจถึงคุณค่าของชีวิตมากยิ่งขึ้นและยิ่งตระหนักว่า หากอยากทำความดีก็ต้องลงมือทำทันที คุณจรรยพรในวัย 38 ปี จึงเลิกหาข้ออ้างให้ตัวเองและเลิกกินเนื้อสัตว์อย่างจริงจัง “พอตั้งใจจริงๆ ก็กินได้ ผักทุกอย่างรสชาติอร่อยมากค่ะ” คุณจรรยพรกล่าว
เป้าหมายแจ่มชัด หนทางชัดเจน
หลังจากตัดสินใจหันมากินเจ คุณจรรยพรซึ่งไม่เคยเข้าครัวทำกับข้าวเอง ก็เจอกับบททดสอบครั้งใหญ่ “วันหนึ่งฉันอยากกินผัดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเจ ซึ่งเราไม่รู้ว่าต้องใส่อะไรบ้าง ด้วยความตื่นเต้น ก็ใส่ทั้งเกลือ ทั้งซีอิ๊ว ทำให้รสชาติออกมาเค็มปี๋ จนกินไม่ไหวจริงๆ ค่ะ” คุณจรรยพรเล่าถึงฝีมือทำกับข้าวของตัวเองอย่างสนุกสนาน
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะจัดการกับอาหารการกินของตนเองอย่างไร คุณจรรยพรเล่าว่า “ช่วงแรกๆ ฉันก็กินกับผักกาดกระป๋อง คลุกด้วยถั่วลิสง ซึ่งก็รู้สึกว่ารสชาติอร่อยมากนะ เพราะเราได้ทำตามความตั้งใจของตัวเอง ส่วนวันที่จะได้กินเป็นกับข้าว ก็คือวันพระ เพราะจะมีคนทำกับข้าวเจมาขายค่ะ”
คุณจรรยพรซึ่งเป็นนักเดินทาง แม้จะออกนอกสถานที่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยกลัวความยากลำบากในการหาอาหารการกิน “ฉันจะพกปลาเค็มเจหรือผักกาดกระป๋องไปเอง แล้วก็ไปหาซื้อข้าวเหนียวเอาข้างหน้า หรือถ้าคนอื่นเขากินแกงเขียวหวานไก่กัน ไม่มีกับข้าวอย่างอื่น แต่ข้างๆ มีซีอิ๊วอยู่ตั้งขวดหนึ่งแน่ะ ฉันก็เอามาคลุกข้าวหรือคลุกขนมจีนก็กินได้แล้ว ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากเลยค่ะ” อย่างไรก็ตาม คุณจรรยพรก็ค่อยๆ ฝึกทำอาหารเจกินเอง แม้อาจจะไม่ถึงขั้นแม่ครัวหัวป่าก์ แต่ก็รับรองว่าไม่ผิดหวังในรสชาติแน่นอน
กินเจไม่โดดเดี่ยว ทำจิตอาสาด้วยความสุข
เมื่อเริ่มกินเจ ทำให้คุณจรรยพรได้เข้าใจความหมายของคำว่า “ชีวิตเพิ่งเริ่มต้นตอนอายุ 40 ปี” เริ่มต้นทำความดี เริ่มเข้าวัดทำบุญบ่อยขึ้น ครั้งหนึ่งเนื่องจากอยากไปไหว้พระที่วัดสวยๆ โดยเฉพาะวัดทางภาคเหนือ จึงออกเดินทางด้วยรถไฟ จากต้นทางที่จังหวัดราชบุรี โดยมีจุดหมายปลายทางที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างที่ขบวนรถไฟแล่นเข้ามากรุงเทพฯ ก็ได้พบกับคนคุ้นหน้าคุ้นตาซึ่งจำได้ว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน
“เขากวักมือเรียก บอกว่าน้องๆ มานั่งข้างๆ พี่สิ แล้วก็แบ่งขนมให้กิน เราก็บอกไปว่า พี่คะหนูกินเจนะ เขาก็ตอบว่า ขนมนี่ก็เจเหมือนกัน ก่อนจะถามต่ออีกว่า น้องกินเจเหรอ มาที่ฉือจี้สิ เราก็ตอบไปว่า รอให้กลับมาจากเชียงใหม่ก่อนนะคะ” ก่อนจากกันในวันนั้น คุณจรรยพรจึงให้หมายเลขโทรศัพท์ไว้ “ผ่านไปไม่นาน วันหนึ่งระหว่างที่นั่งทำงานอยู่ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เราเห็นหมายเลขแปลกๆ ก็คิดว่า ใครโทรฯ มานะ พอรับสายก็รู้ว่าเป็นพี่ที่เจอกันบนรถไฟวันนั้น เขาโทรมาชวนให้ไปช่วยงานจิตอาสาฉือจี้ ซึ่งเตรียมผลไม้ไว้ถวายพระ เนื่องในโอกาสทำบุญโรงพยาบาลโพธาราม”
หลังจากนั้น คุณจรรยพรจึงได้เข้ามาฟังการบรรยายและเข้าร่วมการอบรม เนื่องจากชื่นชอบในแนวทางของฉือจี้ ซึ่งท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนสอนให้ละตัวตน ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ทุกคนจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อขัดเกลาจิตใจตนเองด้วยความซื่อสัตย์ ซื่อตรง สัจจะ สมถะ และเสียสละเพื่อผู้อื่นด้วยพรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา อุเบกขา มุทิตา ไม่ว่าครอบครัวจะมีฐานะอย่างไร การศึกษาระดับไหน ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน
แม้การเดินทางไปไหนมาไหนหรือทำอะไรเพียงลำพัง จะถือเป็นเรื่องปกติของคุณจรรยพร แต่ตอนเริ่มต้นกินเจใหม่ๆ กลับเกิดคำถามขึ้นในใจว่า “ทำไมเราต้องมากินเจ ทำความดีนี้อยู่ลำพังคนเดียวนะ” แม้จะเป็นคนรักสันโดษ แต่การอยู่ท่ามกลางคนที่มีเป้าหมายเหมือนกัน ทำสิ่งเดียวกัน ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจมากกว่า
“คำสัญญาไม่ใช่แค่คำพูด แต่มันคือบทพิสูจน์ และเป็นเครื่องวัดคุณค่าของคนพูดค่ะ” หลังจากกินเจมานานกว่า 12 ปี และทำงานจิตอาสาฉือจี้มาเกือบสิบปี ทุกวันนี้คุณจรรยพรในวัยเกือบ 50 ปี ยังคงเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กับครอบครัวจิตอาสาฉือจี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอและตัดต่อ รวมถึงระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เป็นต้น ทุ่มเททำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อเก็บบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ของจิตอาสา สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนต่อไป
เรื่อง บุษรา สมบัติ ภาพ บุษรา สมบัติ, พิณญ์ธิชา จันทร์สุขศรี, วุฒิสิทธิ์ เก็บเงิน